เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.พ. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาธรรมใคร ๆ ก็อ้างว่าเป็นธรรมะไง ธรรมะของใคร? ถ้าธรรมะของคนมีกิเลส มันก็อ้างแต่ความคิดของตัวเอง ความเห็นของตัวเอง ความเห็นมันเกิดจากอะไร? ความเห็นถ้าเกิดนี่ภวาสวะ ตัวภพ ถ้ายังมีตัวภพมีตัวตนอยู่มันเข้าข้างตัวเองทั้งหมดล่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมจริง ๆ มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากสิ่งที่เป็นนิพพาน เป็นวิมุตติไง สิ่งที่เป็นวิมุตติมันไม่มีภวาสวะ มันไม่มีสถานที่ ถ้ามีภวาสวะอยู่ยังคิดออกมา ยังมีสถานที่ตั้งอยู่มันเป็นมานะ ๙ ถ้ามานะ ๙ เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สูงกว่าเขาก็ไม่สำคัญ ต่ำกว่าเขาก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งนี้มันเป็นอะไร? สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริงไง

ความภราดรภาพ ความเสมอภาค ถ้าความเสมอภาค สิ่งที่เป็นเสมอภาคสิ่งนั้นเท่าเสมอกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ สาวกต่าง ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ ความสะอาดบริสุทธิ์เท่าเสมอกัน แต่บารมีต่างกัน นี่ความเสมอภาค เสมอภาคตรงนั้นไง เสมอภาคตรงที่ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งต่าง ๆ ถ้าไม่มีตัวตน สิ่งที่การกระทำออกมาเป็นอะไร นี่ว่าสังฆะไง

เวลาบอกว่า “สังฆะ” สิ่งที่เป็นสังฆะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ดูนางวิสาขากับพระอานนท์ นางวิสาขาเป็นอุบาสิกา ถ้าเป็นอุบาสิกาเวลาเขาทำคุณงามความดีของเขา เขาเห็นแก่ตัวตนของเขาไหม เขามีแต่สละของเขา สิ่งที่เขาได้มาเขาปรารถนาเป็นมหาอุปัฏฐาก ทรัพย์สมบัติของเขามีมหาศาลเลย สิ่งที่มีมหาศาลมันจะเป็นประโยชน์มาก ประโยชน์เพราะอะไร? เพราะเขาเป็นธรรม

แต่พระอานนท์ล่ะ พระอานนท์ตอนเป็นพระโสดาบัน สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ดูความประพฤติของพระอานนท์สิ พระอานนท์ เวลาพระเทวทัตให้ทางโลกเขาปล่อยช้างมาจะชนพระพุทธเจ้า พระโสดาบันสละชีวิตออกไปปกป้อง สิ่งที่สละชีวิตนี้มันมาจากไหน? เพราะพระโสดาบันยังมีฐานที่ตั้งของความคิดอยู่ มันทั้งพระโสดาบัน พระสกิทา พระอนาคา

สิ่งที่เป็นอนาคาก็ยังมีฐานที่ตั้งอยู่เพราะอะไร? เพราะมันมีภวาสวะ มันมีภพ สิ่งที่มีภพตัวอวิชชามันอยู่ที่ไหน? ตัวอวิชชามันอยู่ที่จิต อยู่ที่จิตอยู่ที่ตัวหัวใจดวงนั้น ตัวนั้นเวลาออกมานี่ความเห็น พระสกิทา พระอนาคานี่ยังมีความเห็นผิด เห็นผิดในธรรมะแต่ไม่เคยสวนกระแส ไม่เคยเนรคุณครูบาอาจารย์ของตัวเอง การเนรคุณครูบาอาจารย์เป็นพระโสดาบันไม่ได้หรอก พฤติกรรมมันเป็นไม่ได้ พระโสดาบันจะเนรคุณครูบาอาจารย์ของตัวเอง จะสวนกระแสครูบาอาจารย์ของตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นอย่างนั้นคือว่าเคยภาวนา เห็นไหม ดูพระเทวทัตสิ พระเทวทัตเวลาเหาะเหินเดินฟ้า จำแลงกายไปบนศีรษะของพระเจ้าอชาตศัตรู จะแปลงกายขนาดไหน นี่เป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์เหาะเหินเดินฟ้าได้ เวลาเสื่อมไปทำไมจะคิดแย่งการปกครองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติมันเจริญแล้วเสื่อม เวลาที่จิตมันสงบเข้ามามันจะเห็นสภาวะอย่างนี้ได้ แต่มันไม่เข้าถึงธรรมไง ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมนี่กิเลสมันตบตา ถ้ากิเลสตบตามันเกิดทิฏฐิมานะ “ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์” สิ่งที่เป็นมานะอย่างนี้เพราะอะไร? เพราะเป็นความเห็น สิ่งนี้เป็นความเห็นก็กลายเป็นองค์กร องค์กรที่จะเอาความเห็นของตัวเข้าไปเป็นความถูกต้องนิกายเกิดจากตรงนี้ไง เกิดจากความเห็นผิด

ความเห็นผิด การตีธรรมและวินัยผิด นี่นานาสังวาสเกิดจากการถือศีลต่างกัน ความเห็นต่างกัน ความสะอาดบริสุทธิ์ต่างกัน เหมือนเรานี่สังคมเราสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ แล้วสังคมหนึ่งเขาไม่มีความสะอาดบริสุทธิ์ เราจะไปอยู่กับสังคมอย่างนั้นได้ไหม นี่มันแตกกันตรงนี้ไง สิ่งที่แตกออกไปตรงนี้มันเกิดจากทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด

แต่ถ้าความเห็นผิดอันนั้นก็ว่าเป็นความผิดมันจะเป็นความผิด นี่สังฆะไง คำว่า “สังฆะ” สังฆะมันออกมาจากใจ นางวิสาขาก็เป็นสังฆะนะ สังฆะคือสงฆ์ สิ่งที่เป็นสงฆ์ขึ้นมานี่มันเป็นอริยสงฆ์จากภายในหัวใจ สิ่งที่เป็นภายในหัวใจมันจะเป็นสภาวธรรมขึ้นมา ธรรมเกิดจากไหน?

ดูสิ เราเป็นพนักงานไฟฟ้า ผู้ที่เป็นพนักงานไฟฟ้าเวลาเขาเดินสายไฟฟ้าของเขา เขาทำของเขา มันมีอุบัติเหตุไหม? เวลาเขาทำไฟฟ้าของเขา สิ่งที่เป็นไฟนี่ เขาเป็นพนักงานไฟฟ้านะ แต่เขาเกิดอุบัติเหตุในไฟฟ้านั้นของเขาก็มี นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของพลังงานของใจ ถ้าพลังงานของใจ ถ้าเป็นพระโสดาบัน สิ่งที่มันเป็นคัทเอาท์นี่มันตัดออกมาได้ เพราะไฟฟ้ามันดูดคนถึงเสียชีวิตได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาพลังงานตัวนี้ ถ้าเป็นธรรมมันจะเป็นธรรมไปหมด ถ้ามันเป็นอกุศล มันเป็นพลังไฟฟ้าที่มันเป็นอุบัติเหตุที่มันลัดวงจรมา ถ้าลัดวงจรมาความคิดของไฟมันผูกพันไปอย่างนั้นไง มันมีสติขนาดนั้นนะถ้าจิตมันเป็นสังฆะ จิตมันเป็นสังฆะมันจะมีสภาวะแบบนี้ มันจะไม่มีการสวนกระแส มันไม่มีการอุบัติเหตุได้

เรื่องของไฟฟ้า เรื่องพนักงานไฟฟ้านี่มันถึงกับประสบอุบัติเหตุนั้นมันเป็นเรื่องของโลกใช่ไหม อุบัติเหตุมันมีวัตถุ มันมีสิ่งที่เป็นไป แต่เรื่องของนามธรรม ความคิดมันเป็นนามธรรม ถ้าความคิดเป็นนามธรรมอย่างนี้ในหัวใจเวลามันออกมา มันสื่อสารออกมา มันเสวยอารมณ์ออกมามันจะมีความรู้ของมัน ถ้าเป็นสังฆะมันจะมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะทำความผิดพลาดไปได้อย่างไร?

สิ่งที่ความผิดพลาดไปมันถึงไม่เป็นความจริง สังฆะนั้นมันเป็นอุปกิเลสไง สิ่งที่เป็นอุปกิเลสมันเป็นกิเลสซ้อนธรรมออกมา ถ้ากิเลสมันซ้อนธรรมออกมามันจะให้ความเห็นของมันเป็นความเห็นผิดไป ถ้าความเห็นผิดไปมันก็ถือตัวถือตนเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วก็ตีความหมายผิด ๆ เลย ผิดไปตลอด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกนะว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” สมัยพุทธกาลใครเกิดร่วมสหชาติ ต้องทำบุญกุศลมาถึงได้เกิดร่วมสหชาติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รู้แจ้งโลกนอกและโลกใน โลกนอกคือหมู่สัตว์ คือความเป็นไปของพวกเราที่เกิดในวัฏฏะนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้เห็นไปหมดเลย และจะแนะนำวิธีการประพฤติปฏิบัติของเรา

ถ้าเราพระป่านี่เราเน้นการประพฤติปฏิบัติกัน เพราะผลปฏิบัติมันชำระกิเลส แต่เรื่องของสังคม เรื่องของทาน ศีล ภาวนา เป็นเรื่องของสังคม สังคมอาศัยสิ่งนี้เพื่อจรรโลงสังคมไว้ จริง ๆ สังคมนี่ศาสนาพุทธมันมีหยาบมีละเอียด นี่เน้นการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงย้อนกลับไปว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี่อินทรีย์แก่กล้าไหม?

ถ้าอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า อินทรีย์หมายถึงว่าสถานะของใจมันอ่อนไหวมาก การประพฤติปฏิบัติมันจะเรรวน ท่านจะให้เริ่มเรื่องของทาน อนุปุพพิกถา เรื่องทาน เรื่องเนกขัมมะ สร้างสมบารมีไป ถ้าถึงที่สุดใจนี้ควรแก่การงานแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่นิโรธ มรรคมันเป็นอาการของใจขึ้นมา นี่จะเข้าใจสภาวะแบบนั้น มันจะพร้อมไป

พระปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเทศน์ครั้งแรกเทศน์ธัมมจักฯ เลย กิจจญาณ กตญาณ กิจจญาณถ้าเป็นประสาเรา กิจการงานเราก็ต้องเป็นหน้าที่การงาน ใครมีอาชีพอะไรก็ว่าการงานคนนั้นเป็นธรรม ๆ อันนี้มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นเรื่องของโลกนะ

“กิจจญาณ กตญาณ” มันเรื่องของอาการกระทบที่ไฟฟ้าในหัวใจนี่ พลังงานตัวนี้มันออกมา กิจจญาณ กตญาณนี่ เวลาเทศน์อนัตตลักขณสูตร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง สิ่งนี้เป็นเที่ยง? เป็นสุขหรือเป็นทุกข์? ...เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ทำไมไม่ปล่อยล่ะ? เราก็ฟัง เราก็ท่องกันทุกวัน สวดกันทุกวัน ทำไมเราไม่ปล่อยล่ะ?

อินทรีย์ในหัวใจมันไม่แก่กล้า อินทรีย์ในหัวใจมันไม่เป็นไป ถ้าเกิดสมัยร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะย้อนกลับไปเรื่องของจริตนิสัย เรื่องของสัตว์โลก การเกิดการตายในวัฏฏะ ที่เขาว่า “มีชาติเดียว เกิดแล้วไม่ตาย ๆ” การเกิดและการตาย การพัฒนาก่อนมา การสะสมบุญญาธิการอย่างนี้ มันจะทำให้อินทรีย์แก่กล้าควรแก่การงาน ย้อนกลับไปอดีตชาติ อดีตที่สะสมมาให้ตรงกับจริต

ดูอย่างจูฬปันถก พี่ชายเป็นพระอรหันต์ไม่สามารถสอนน้องชายของตัวเองได้ สอนแล้วก็ทำไม่ได้ ให้จูฬปันถกไปสึก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปดักรอเลย เพราะว่าเขาสร้างสมบุญญาธิการมาพอแล้วแต่คนสอนไม่ตรงกับจริต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ลูบผ้าขาว “ผ้านี้ขาวหนอ ผ้านี้ขาวหนอ” จูฬปันถกเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันทีเลย เพราะมันไปตรงกับจริตนิสัย

แล้วกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญที่ไหน ๆ เจริญที่ใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาก่อน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พยายามค้นคว้าเข้ามาเป็นงานภายใน เป็นภาวนามยปัญญา แล้วค้นคว้าขึ้นมาจนวางเข้ามาเป็นพระอรหันต์เป็นคณะ ๆ ผู้ที่เป็นชาวพุทธเราไม่กล้าพูดถึงพระอรหันต์นะ ไม่กล้าพูดถึงพระอริยบุคคล ไม่กล้าพูดถึงสังฆะ เพราะอะไร?

เพราะสิ่งที่ว่าเรื่องเกิดเรื่องตายก็ไม่กล้าพูดกัน เพราะกลัวมันจะเสียเกียรติ สิ่งที่ว่าเราพูดเรื่องเกิดเรื่องตายนี่ เราเป็นคนครึ คนล้าสมัย แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมามันกังวล มันสงสัยในใจ ลังเลสงสัยในใจ ทำไมไม่บอกว่า “กูก็งง กูก็งง” ล่ะ ถ้าความลังเลสงสัยในหัวใจเกิดแล้วเกิดมาจาก? ตายแล้ว ๆ จะไปไหน? บุญกุศลมีหรือเปล่า? ทำไมความลังเลสงสัยอันนี้ ถ้ามันมีปัญญาเข้ามามันจะย้อนกลับเข้ามาตรงนี้

ถ้ามันย้อนกลับเข้ามา มันก็เชื่อเรื่องการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม? ถ้ามันเชื่อเรื่องการประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติของเรามันจะเข้ามานี่ ๆ ศาสนาเจริญเจริญตรงนี้ไง เจริญตรงใจของครูบาอาจารย์เขาพยายามค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมา แต่มันละเอียดลึกซึ้งมาก เพียงแต่ผู้ที่เข้ามาแล้วปฏิบัติไม่ถึงแล้วย้อนกลับไปเอาทิฏฐิมานะเป็นธรรมไง เอากิเลสเป็นธรรม

มันไม่ใช่ธรรม ถ้าเป็นธรรมมันจะทำสภาวะแบบนั้นไม่ได้ เป็นธรรมมันอยู่ที่พฤติกรรม กรรมส่อเจตนา ถ้าเจตนาทำความอกุศลมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร? มันเป็นกุศลไปไม่ได้ สิ่งนี้เป็นกุศลไปไม่ได้นะ แต่ทำไมในเซน เวลาเซน เวลาครูบาอาจารย์เขาสอนลูกศิษย์เขา เขาใช้ตีเอา สิ่งที่เขาตีอย่างนั้นเขาไม่ได้ตีตัวตน เขาไม่ได้ตีลูกศิษย์ของเขา เขาตีกิเลส เขาสอนด้วยอย่างนั้น นั่นเป็นอุบายนะ

ถ้าเราบอกว่า “ถ้าไม่ทำความผิดเลยจะต้องเป็นพระพุทธรูป ไม่ขยับเลย สิ่งต่าง ๆ ขยับไม่ได้ เป็นความผิดไปทั้งหมด” สิ่งที่เป็นความผิดมันเป็นโอกาส เป็นวิธีการ เป็นอุบายวิธีการจะสั่งสอนคนก็ได้ สิ่งที่สั่งสอนก็ได้ ก็ใจดวงนี้เป็นธรรมใช่ไหม นี่กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง มันเจริญมาในใจของครูบาอาจารย์เรามาไง ใจของครูบาอาจารย์เรามาถึงสังคมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้ามาในหัวใจของเราไง

ถ้าในใจของเรา สิ่งที่การกระทำต่าง ๆ ย้อนกลับมา สังคมเป็นเรื่องของสังคม โลกเป็นเรื่องของโลก แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็อาศัยสังคมนี่แหละ สัปปายะเห็นไหม อาหารเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะ สังคมก็เป็นสัปปายะอันหนึ่ง การเกิดและการตายของสังคมนั่นเป็นอันหนึ่ง อาณาจักรพุทธจักรมันซ้อนอยู่ด้วยกันอย่างนั้นไง ผู้ที่พ้นจากกิเลสแล้วมันก็ห่วงสังคมก็ช่วยเหลือสังคม

แต่ผู้ที่ว่าห้อยโหนกิเลส...อะไรก็ได้ เรื่องของสังคม โลกก็เป็นเรื่องของโลก พระก็ไม่เกี่ยวกับโลก พระไม่เกี่ยวกับโลก! ถ้าเวลาเราประพฤติปฏิบัติเราจะเอาตัวรอดของเรานี่ เราจะออกไปเกาะเกี่ยวกับเขาไม่ได้ ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติของเรา แต่ผู้ที่ใจพ้นจากกิเลสแล้วสิ่งนี้สังคมของโลกนี่จะไม่พึ่งพาอาศัยเขาเหรอ?

ดูสิ พระโมคคัลลานะ คราวที่พราหมณ์นิมนต์ไว้ เวลาถึงคราวทุกข์ยากหมากแพง บอกเลยนะ บอกกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จะพาหมู่สงฆ์ไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง” สังคมโลกเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เวลาพระถ้าจะเอาตัวรอดได้นี่เอาตัวรอดได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ทำไมห่วงหมู่ห่วงคณะขนาดนั้น

แล้วเวลาบอกว่า “ถ้าไม่ให้ไป เพราะพระที่บวชใหม่ก็มี แล้วจะทำอย่างไร?”

“ผมก็จะจับมือไป ผมจะพาเหาะไป”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต

“อย่างนั้นจะขอพลิกดินขึ้นมาเพื่อเอาอาหารนั้นขึ้นมา ดินที่อ่อนดินที่หอมหวนก็ให้มาเป็นอาหาร”

“แล้วประชาชนอยู่บนแผ่นดินทำอย่างไร?”

“ผมจะเอามือนี่ออกไปเป็นเหมือนทวีปเลย ให้ประชาชนอยู่ในมือของผมก่อน แล้วผมจะพลิกง้วนดินขึ้นมา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาตทั้งนั้นเลย นี่ทำเป็นคุณงามความดีนะ นี่เรื่องของโลกนะ เวลาพระโมคคัลลานะไปบนสวรรค์มา ไปพรหม ไปอินทร์มา นี่ครอบครัวนี้ทำสภาวะแบบนี้เกิดแล้วไปตายที่นั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รับประกัน ๆ ๆ ตลอดเลย นี่อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาเป็นผู้ที่ช่วยเผยแผ่ศาสนามา ศาสนาเป็นอาหารของใจ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาหารของใจ

ยานะ มันเป็นฉลากยาไม่เคยได้กินยาเลย การประพฤติปฏิบัติทำความสงบของใจเข้ามา ปัญญาเกิดขึ้นมา ตัวยาเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากใจของเรา สังฆะเกิดตรงนี้! ถ้าเกิดตรงนี้มันจะเห็นเรื่องของไฟฟ้า เรื่องของสายไฟฟ้าคือร่างกายของเรา พลังไฟฟ้าแล้วเกิดที่มันเป็นกุศลอกุศลนี่มันมีคัทเอาท์ของมัน มันจะมีความเป็นไปของมัน มันจะไม่ช็อตไม่ทำลายให้เป็นอกุศลออกมาจนเป็นพฤติกรรมออกมาทำลายตัวเอง นี่ศาสนาเสื่อม เสื่อมอย่างนี้ไง มันละเอียดอ่อน ดูสิ สายไฟฟ้ามานี่เราจะรู้ว่ามันมีไฟหรือไม่มีไฟ ถ้ามีไฟจับมันก็ดูดเรา ถ้าไม่มีไฟจับมันก็ไม่มีปัญหาใช่ไหม?

นี่ก็เหมือนกัน กิริยาแสดงออกมานี่เหมือนกัน เพียงแต่ใครรู้ว่ากุศลหรืออกุศลไง สิ่งที่เป็นกุศลคือความถูกต้อง สิ่งที่เป็นอกุศลเป็นความจริง มันเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน มรรคญาณเป็นเครื่องดำเนินไป ถึงที่สุดแล้วผลมันเป็นนามธรรมอันหนึ่ง ที่มันออกมาเป็นกิริยาอย่างนี้ไม่ได้ สิ่งที่เป็นกิริยา อัตตาอนัตตานี่เป็นกิริยาดำเนินไปอยู่ การดำเนินไปอยู่อย่างนี้มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมเกิดดับเกิดดับ

สิ่งที่เกิดดับเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา แล้วเราสร้างสมของเราขึ้นมา สร้างสมขึ้นมาเพื่อเป็นเรา สังฆะมันจะเห็นความจริงจากภายนอก มันจะเห็นผล เห็นสิ่งที่เป็นความหยาบเป็นละเอียด สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์จากภายนอกภายใน สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์จากภายในมันก็อยู่ในหัวใจอันนั้น สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ภายนอก เราก็ต้องถนอมรักษาไว้ เพื่ออะไร? เพื่ออนุชนรุ่นหลังนะ พระกัสสปะบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือธุดงค์มาตลอดเวลา พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์นะ

“เธอถือธุดงควัตรเพื่ออะไร?”

“เพื่อให้เป็นคติ เป็นแบบอย่างให้อนุชนรุ่นหลังเขาได้เป็นคติ เขาได้เป็นที่ยึดที่มั่นของเขา เขาได้มีผู้ชี้นำของเขา”

นี่พระอรหันต์ทำเพื่อโลก ทำเพื่อโลกก็มี แต่ที่พระเทวทัตต้องการการปกครอง ต้องการอำนาจบาตรใหญ่ทั้ง ๆ ที่ว่าไม่มีเชาวน์ปัญญา ไม่ลึกซึ้งในธรรมวินัยเลย ไม่สามารถปกครองหมู่สงฆ์ได้ แต่ก็อ้างอิง แต่ก็ต้องทำ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ในสังคมทุกสังคมจะมีคนดีคนเลวปนกัน”

นี่ก็เหมือนกัน ในสังคมของเราในสังคมของพระก็เหมือนกัน ในสังคมของโลกเราก็ดูไปอยู่ที่สภาวะกรรมนะ เราได้เห็นสิ่งต่าง ๆ เกิดในสังคม เราได้เห็นกันมาเพื่อเป็นคติเตือนใจเรา แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่เป็นอย่างนั้น นี่เรื่องของโลกเราอาศัยส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของใจเรื่องของสภาวะของใจ เรื่องของใจก็ความรู้สึกอันนี้มันไม่เคยตาย ถ้าใครเห็นคุณค่าของความรู้สึกอันนี้ มันจะทำคุณงามความดีของมัน ธรรมของเรา ความดีของเราไม่ต้องไปทำอวดอ้างใคร ทำอยู่ในหัวใจของเรานี่ ให้กำหนด “พุทโธ พุทโธ” ให้มันสงบเข้ามามันมีคุณค่าของมัน

ดูสิ อากาศ น้ำนี่ ใครมีภาชนะเอาไว้ใช้ประโยชน์เขาก็ใช้ประโยชน์ของเขาได้ หัวใจของเรามันก็มีสติสัมปชัญญะเป็นภาชนะที่จะควบคุมมันเอง แต่ทำไมเราไม่สนใจมันล่ะ? ทำไมเราไม่รู้จักรักษาเลย? แค่มีน้ำขันเดียวเราก็ใช้อาบใช้ดื่มกินของเราได้ ใจของเรามันมีภาชนะเข้าไปจับต้อง มันมีความสุขของมันขึ้นมามันก็เป็นคุณธรรมของเรา นี่สังฆะเกิดจากเราก่อน สังคมทุกสังคมเป็นคนดีสังคมนั้นก็เป็นดี ในหน่วยของสังคมนั้นเป็นคนดีหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน การกระทำประพฤติปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาที่เราก่อน ๆ ตัวเราเองนี่เอาตัวเราเองให้รอดให้ได้ก่อน แล้วเรื่องของข้างนอก ถ้าเรามีเชาวน์ปัญญาเราจะรู้ทัน ถ้าเราไม่มีเชาวน์ปัญญาออกไปนี่เราจะเป็นเหยื่อของเขา แต่ในเมื่อเรามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำอยู่ ทำไมเราไม่เชื่อ? ทำไมเราไม่ศรัทธา? ทำไมเราไม่สละ? เราต้องทำขึ้นมาเพื่อบุญกุศลของเรา เอวัง